วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560

แหล่งกำเนิดของแสง


แหล่งกำเนิดของแสง


              แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์มาก เรา รู้จักแสงในรูปของความสว่าง จึงมักเรียกว่า แสงสว่าง ซึ่งเราสามารถรับรู้ได้ด้วยตา ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มีแสงเคลื่อนที่ไปกระทบหรือมีแสงออกมาได้ แสงมีแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติและที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้น ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของโลก เรียกแสงจากดวงอาทิตย์ว่า แสงแดด แสงในฐานะที่เป็นพลังงานสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปอื่นได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเปลี่ยนพลังแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานที่มีความต้องการใช้สูงมาก


            แสงเกิดจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆได้แก่  


              1. แสงเกิดจากดวงอาทิตย์
              2. แสงเกิดจากสัตว์บางชนิด เช่น หิ่งห้อย
              3. แสงเกิดจากการเผ่าไหม้ เช่น  กองไฟ  เทียนไข
              4. แสงเกิดจากการเสียดสี เช่น ฟ้าแลป  ฟ้าผ่า
              5. แสงเกิดจการความร้อน เช่น  หลอดไฟฟ้า ไฟฉาย


            




แบบฝึกหัด
ตารางจำแนกแหล่งกำเนิดของแสง


แหล่งกำเนิดของแสงจากนอกโลก จากสัตว์ จากความร้อน จากการเสียดสี การเผาไหม้ 
ดวงอาทิตย์                
หิ่งห้อย 

กองไฟ 

เทียนไข

ฟ้าแลป

หลอดไฟฟ้า 

ฟ้าผ่า 
ไฟฉาย 

    

  
















อ้างอิง https://sites.google.com/site/reiynruxxnli/haelng-kaneid-khxng-saeng-1




การเคลื่อนที่ของแสง


การเคลื่อนที่ของแสง

แสงเคลื่อนที่เป็นแนวตรงด้วยความเร็ว186,000 /วินาทีหรือ 300,000 กิโลเมตร/วินาที

    การทดลอง

เรื่องแสงเคลื่อนที่เป็นแนวตรง
1. สมมุติฐาน       -  มื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านรูที่เจาะไว้ตรงกันแล้วจะมองเห็นเปลเทียน                                         
                               -  เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านรูที่เจาะไว้ไม่ตรงกันแล้วจะมองไม่เห็นเปลวเทียน

2. ตัวแปรที่ต้องการศึกษา 
      2.1  ตัวแปรต้น  คือ  รูที่เจาะไว้ตรงกัน และ รูที่เจาะไว้ไม่ตรงกัน
      2.2  ตัวแปรตาม คือ การมองเห็นเปลวเทียน และ การมองไม่เห็นเปลวเทียน

3. อุปกรณ์การทดลอง
     3.1  กระดาษแข็ง ขนาด 10x 12 เซนติเมตร เจาะรู 3 รู  จำนวน  3  แผ่น
     3.2  ดินน้ำมัน                                                                  จำนวน  3  ก้อน
     3.3  เทียนไข                                                                    จำนวน  1  เล่ม
     3.4  ไม้ขีดไฟ                                                                    จำนวน  1 กลัก

4. ออกแบบการทดลอง
 

 5. วิธีทลอง
       5.1  จุดเทียนวางไว้บนโต๊ะ
       5.2  ใช้ดินน้ำมันทำเป็นฐานกระดาษที่เจาะรุไว้ทั้ง 3  แผ่น
       5.3  ตั้งกระดาษแผ่นที่ 1 ระหว่างตากับเทียนไข แผ่นที่ 2 ตั้งระหว่างแผ่นที่ 1 กับ เทียนไข และแผ่นที่ 3
               ตั้งระหว่างแผ่นที่ 2 กับ เทียนไขโดยให้รูที่เจาะไว้ตรงกันทั้ง 3 รู

6.  คำถามก่อนการทดลอง
      6.1  แหล่งกำเนิดของแสงในการทดลองนี้คืออะไร
      6.2  สิ่งที่ขวางทางเคลื่อนที่ของแสงคืออะไร

7. บันทึกการทดลอง
       7.1  มองผ่านรูที่เจาะไว้แล้วจดบันทึกการมองเห็น
       7.2  เลื่อนกระดาษแผ่นที่ 2 ไปทางด้านขวา 1 เซนติเมตร มองผ่านรูที่เจาะไว้แล้วจดบันทึกการมองเห็น

8. คำถามหลังการทดลอง
       8.1  แสงเคลื่อนที่ผ่านรูที่เจาะตรงกันได้หรือไม่เพราะเหตุใด
       8.2  เมื่อเคลื่อนกระดาษแผ่นที่ 2 มองเห็นเปลวเทียนหรือไม่เพราะเหตุใด
       8.3  การทดลองตรงกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่

9. สรุปผลการทดลอง
       9.1  อภิปรายผลการทดลองได้ว่าอย่างไร
       9.2  สรุปผลการทดลองได้ว่าอย่างไร 




แบบฝึกหัด
การทดลอง  
เรื่อง  การเคลื่อนที่ของแสงจากแหล่งกำเนิดแสง

คำชี้แจง  ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติดังต่อไปนี้
  1. แบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 – 4 คน  อ่านวิธีทำกิจกรรมให้เข้าใจ
  2. ตอบคำตอบก่อนทำกิจกรรม
  3. ทำกิจกรรมและบันทึกผล
  4. ตอบคำถามหลังทำกิจกรรม

อุปกรณ์การทดลอง  
  1. กระดาษแข็ง  ขนาด  10 × 10 เซนติเมตร  เจาะรูตรงกลาง  3  แผ่น
  2. ดินน้ำมัน   3  ก้อน
  3. เทียนไข   1  เล่ม
  4. ไม้ขีดไฟ 1  กลัก

วิธีทดลอง
  1. นำดินน้ำมันที่มีขนาดเท่ากันมาปั้นเป็นฐานเพื่อให้เสียบกระดาษแข็ง
  2. นำเทียนไขมาตั้งทางด้านซ้ายสุด  แล้วจุดเทียนไข
  3. นำกระดาษแผ่นที่ 1  มากั้นระหว่างเทียนไขกับตาของผู้สังเกต  มองผ่านรู  สังเกต การมองเห็นลำแสง  บันทึกผล
  1. นำกระดาษแผ่นที่ 2  ระหว่างกระดาษแผ่นที่ 1  กับตาของผู้สังเกต  โดยให้รูของกระดาษทั้งสองอยู่ในแนวเดียวกัน  แล้วมองผ่านรูของกระดาษแผ่นที่ 2  สังเกตการมองเห็นลำแสง  บันทึกผล
  1. นำกระดาษแผ่นที่ 3 มากั้นระหว่างกระดาษแผ่นที่ 2 กับนัยน์ตาของผู้สังเกต แล้วทำการทดลองเช่นเดียวกับข้อ 4 สังเกตการมองเห็นลำแสง บันทึกผล
  2. เลื่อนกระดาษแผ่นที่ 2 ให้รูของกระดาษสลับกัน (ไม่อยู่ในแนวเดียวกัน) แล้วมองผ่านรูของกระดาษแผ่นที่ 3 สังเกตการมองเห็นลำแสง บันทึกผล






ตาราง  ผลการสังเกตแสงจากเทียนไข  เมื่อวางแผ่นกระดาษในลักษณะต่างๆ


ลักษณะการวางกระดาษ
ผลการสังเกต
แสงจากเทียนไข
มองเห็น
มองไม่เห็น
1. วางกระดาษแผ่นที่ 1 (ให้รูกระดาษตรงกัน)


2. วางกระดาษแผ่นที่ 2 (ให้รูกระดาษตรงกัน)


3. วางกระดาษแผ่นที่ 3 (ให้รูกระดาษตรงกัน)


4. เลื่อนกระดาษแผ่นที่ 2 (ให้รูกระดาษไม่ตรงกัน)















อ้างอิง https://sites.google.com/site/reiynruxxnli/haelng-kaneid-khxng-saeng-2





แสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลาง



แสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลาง

            แสงเคลื่อนที่เป็นแนวตรง  สิ่งที่มาขวางทางเคลื่อนที่ของแสง  เรียกว่าตัวกลางของแสงตัวกลางของแสงแบ่งออกเป็น  3  ชนิด ได้แก่
              1. ตัวกลางโปร่งใส  เช่น  กระจกใส  อากาศ  น้ำใส  พลาสติกใส  แก้วใส  ฯลฯ
              2. ตัวกลางโปร่งแสง  เช่น  กระจกฝ้า  กระดาษชุบน้ำมัน  กระดาษไข  ฯลฯ
             3. ตัวกลางทึบแสง  เช่น  ไม้กระดาน  หนังสือ  กระเบื้อง  ไม้อัด  คอนกรีต  ฯลฯ 


ผลการค้นหารูปภาพ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กระจกเงาผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ผ้าเช็ดหน้า




ตารางจำแนกตัวกลางของแสง
 
ตัวกลางชนิดต่างๆ ตัวกลางโปร่งใสตัวกลางโปร่งแสง  ตัวกลางทึบแสง
1. แก้วใส
  
2. น้ำใส 
  
3. ไม้อัด    
4. กระดาษชุบน้ำมัน  
 
5. กระดาษไข    
6. หนังสือ    
7. กระจกฝ้า    



อ้างอิง https://sites.google.com/site/reiynruxxnli/haelng-kaneid-khxng-saeng
 

การหักเหของแสง


การหักเหของแสง

             ปกติแสงเคลื่อนที่เป็นแนวตรง  เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นเท่ากันหรือผ่านตัวกลางชนิดเดียวกัน เช่น  แสงเคลื่อนที่ผ่านอากาศในวันที่อากาศโปร่งใส  แต่แสงอาจจะเคลื่อนที่ผิดไปจากปกติ เช่น เป็นแนวหัก  เป็นแนวโค้ง ฯลฯ ในบางครั้ง จึงทำให้มีผู้ศึกษาลักษณะการเคลื่อนที่ของแสงที่ผิดปกตินี้  และตั้งกฎการหักเหของแสง  เรียกว่ากฎของสเนลล์
 
 
            
                                                         
 
 
 
                กฎการหักเหของแสง
                1.  เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่โปร่งกว่าไปยังตัวกลางที่หนาแน่นกว่า หรือ เคลื่อนที่ผ่านวัตถุที่แสงมีความเร็วมากกว่า  ไปยังวัตถุที่แสงมีความเร็วน้อย แสงจะเคลื่อนที่หักเหเบนเข้าหาเส้นปกติตรงหรือเส้นแนวฉาก   ตรงผิวรอยต่อของ
ตัวกลาง  หรือ วัตถุทั้งสองนั้น
 
 
 
                                                                   
 
                                                
 
 
                 2.  เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่หนาแน่นกว่าไปยังตัวกลางที่โปร่งกว่า หรือ เคลื่อนที่ผ่านวัตถุที่แสงมีความเร็วน้อยกว่า  ไปยังวัตถุที่แสงมีความมากกว่า  แสงจะเคลื่อนที่หักเหเบนออกจากเส้นปกติ  หรือเส้นแนวฉากตรงผิวรอยต่อของตัวกลาง  หรือวัตถุทั้งสองนั้น
 
                                                               
                                                                   
 
 
ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการหักเหของแสง
1.  การมองเห็นวัตถุที่อยู่ในน้ำหักงอ เช่น เห็นหลอดหรือช้อนที่อยู่ในแก้วซึ่งมีน้ำอยู่มีลักษณะหักงอผิดความจริง                        
2. การมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในน้ำอยู่ตื้นกว่าความเป็นจริง เช่นเวลามองปลาที่อยู่ในน้ำ จะมองเห็นว่าปลาอยู่ตื้นกว่าความเป็นจริง                                                                                                                                    
3.  เมื่อมองวัตถุผ่านน้ำไปยังอากาศ จะเห็นวัตถุอยู่ไกลกว่าความเป็นจริง




การเคลื่อนที่ของแสงผ่านวัตถุต่างๆ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านวัตถุต่างชนิดกัน นักเรียนเคยมองปลาหรือวัตถุต่างๆ ที่อยู่ในน้ำใสบ้างหรือไม่ และเคยคิดว่าปลาหรือวัตถุเหล่านั้นอยู่ตรงตำแหน่งที่มองเห็นหรือไม่ เพราะเหตุใด




นำดินสอใส่ลงในแก้วเปล่า แล้วมองแท่งดินสอในแนวต่างๆ กัน (ตำแหน่งของตาอยู่เหนือถ้วย) สังเกตลักษณะที่เห็น จากนั้นนำดินสอใส่ในแก้วที่บรรจุน้ำ สังเกตลักษณะที่เห็น และลองทำซ้ำโดยเปลี่ยนจากดินสอเป็นไม้บรรทัด สังเกตลักษณะที่เห็นเช่นกัน เราจะเห็นว่าลักษณะดินสอทั้งแท่งในแก้วทั้งสอง จากการมองเห็นแตกต่างกัน ดินสอส่วนที่อยู่ในน้ำจะอยู่ ตื้นกว่าที่เป็นจริง จะเห็นดินสอทั้งส่วนที่อยู่ในน้ำ และเหนือน้ำไม่ตรงเหมือนเดิม จะเห็นหักเป็นมุมที่ผิวน้ำ เมื่อเปลี่ยนดินสอเป็นไม้บรรทัด จะสังเกตเห็นไม้บรรทัดไม่ตรง จะเห็นหักเป็นมุมที่ผิวน้ำ ไม้บรรทัดส่วนที่อยู่ในน้ำ จะมองเห็นอยู่ตื้นกว่าที่เป็นจริง




เมื่อแสงผ่านวัตถุต่างกัน แสงจะเบนไปจากแนวเดิมตรงผิวรอยต่อของน้ำและอากาศ เรียกแสงที่เบนไปจากแนวเดิมนี้ว่า รังสีหักเห
         สรุปว่า การที่เราเห็นวัตถุได้ เพราะแสงจากวัตถุมาเข้าตาเรา แสงจากวัตถุในน้ำที่มาเข้าตาเรา มีการเบนไปเมื่อผ่านจากน้ำออกสู่อากาศ ดังแผนภาพ





           คุณตอบคำถามนี้ได้หรือไม่
            
                1.  เมื่อแสงเคลื่อนที่ ผิดปกติ ไปจากแนวตรง  เราเรียกว่าปากฎการณ์นี้ว่าอะไร
                 2. กฎการหักเหของแสงมีกี่ข้อ  แตกต่างกันอย่างไร
                 3. เส้นปกติ  หรือแส้นแนวฉากมีลักษณะอย่างไร
                 4. ปรากฎการณ์ที่เกิดจากการหักเหของแสงมีอะไรบ้าง
 
 
 
        เอกสารอ้างอิง
        learning  for  fun  การหักเหของแสง  ออนไลน์วันที่  11  กุมภาพันธ์  2554
                             แหล่งที่มา http://arts.kmutt.ac.th/ssc210/Group%20Project/ASSC210/1.48LearningForFun/File/3.htm

ดวงอาทิตย์


ดวงอาทิตย์
             ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ศูนย์กลางของระบบสุริยะ เนื้อสารส่วนใหญ่ของระบบสุริยะอยู่ที่ดวงอาทิตย์ คือ มีมากถึง 99.87% เป็นมวลสารดาวเคราะห์รวมกันอย่างน้อยกว่า 0.13% ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับดาวฤกษ์อื่น ๆ บนฟ้า แต่เป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุด จึงปรากฏเป็นวงกลมโต บนฟ้าของโลกเพียงดวงเดียว ดาวฤกษ์อื่นปรากฎเป็นจุดสว่าง เพราะอยู่ไกลมาก
1.ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1,392,000 กิโลเมตร
2.ความหนาแน่นเฉลี่ย 1,408 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตรหมุนรอบตัวเองที่เส้นศูนย์สูตร 25.04 วัน
3.อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 6,000 องศาเซลเซียส
4.แรงโน้มถ่วงที่ผิว 27.9 เท่าของโลกการศึกษาสเปกตรัมของแสงอาทิตย์ พบว่า ดวงอาทิตย์มีธาตุต่าง ๆ อยู่มากมาย ธาตุที่มีมาก ที่สุดในดวงอาทิตย์ถึง 3 ใน 4 ส่วน คือ ไฮโดรเจน รองลงมา คือ ฮีเลียมธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ อยู่ในสภาวะที่เรียกว่า พลาสมา ( plasma ) คือมีประจุไฟฟ้า เพราะอยู่ภายใต้อุณหภูมิและ ความกดดันสูงมาก ประมาณว่าในใจกลางดวงอาทิตย์คงมีอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านองศาเซลเซียส ซึ่งสูงมากพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ หลอมไฮโดรเจนให้กลายเป็นฮีเลียม กระบวนการนี้ให้พลังงานแผ่ออกไปในระบบสุริยะปริมาณมหาศาล
5.โครงสร้างดวงอาทิตย์ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ตัวดวงอาทิตย์ และ บรรยากาศของดวงอาทิตย์
sundisc
ตัวดวงอาทิตย์แบ่งเป็นชั้นสำคัญ 3 ชั้น คือ
1. ใจกลางดวง ( Core ) มีขนาดราว 0.25 ของรัศมีดวงอาทิตย์ อุณหภูมิสูงประมาณ 15,000,000 องศาเซลเซียส เป็นแหล่งเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ สร้างพลังงานมหาศาลของดวงอาทิตย์
2.ชั้นแผ่รังสี (Radiation Zone) ขนาดราว 0.86 ของรัศมีดวงอาทิตย์ เป็นบริเวณที่พลังงานจากใจกลางดวงแผ่รังสีออกสู่ชั้นนอกของดวงอาทิตย์
3.ชั้นพาพลังงาน (Convection Zone) เป็นชั้นที่นำพลังงานจากชั้นแผ่รังสีออกสู่ผิวดวงอาทิตย์ ปรากฏสว่างจ้าในบรรยากาศชั้นผิวหน้าดวงอาทิตย์ ที่เรียก ชั้นโฟโตสเฟียร์
บรรยากาศของดวงอาทิตย์ มี 3 ชั้น
1.โฟโตสเฟียร์ (Photosphere ) เป็นชั้นของแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่เรามองเห็นเป็นดวงจ้า มีอุณหภูมิประมาณ 4,000 – 6,000 องศาเซลเซียส เป็นชั้นบาง ๆ แต่สว่างจ้ามากจนเราไม่สามารถมองผ่านลึกลงไปถึงตัวดวงอาทิตย์ได้
2. โครโมสเฟียร์ (Chromosphere ) เป็นบรรยากาศบาง ๆ สูงขึ้นจากชั้นโฟโตสเฟียร์ มีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 6,000 – 20,000 องศาเซลเซียส เป็นชั้นที่เกิดปรากฏการณ์รุนแรงบนดวงอาทิตย์ เช่น พวยก๊าซ เส้นสายยาวของลำก๊าซ หรือ การระเบิดลุกจ้าบนดวงอาทิตย์
3. โคโรนา (Corona ) เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ มีอุณหภูมิสูง 1- 2 ล้านองศาเซลเซียส แผ่อาณาเขตกว้างไกลออกไปมากกว่า 5 เท่าของตัวดวงอาทิตย์ มีรูปร่างเปลี่ยนแปลง ไปตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในตัวดวงอาทิตย์ มองเห็นได้เฉพาะขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนไปบังโฟโตสเฟียร์เท่านั้น เป็นแสงสว่างเรือง สีขาวนวล แผ่ออกโดยรอบ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก http://www.lib.kmutt.ac.th/st4kid/nonFlash/index.jsp?id=146
พลังงานจากดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาหลายรูปแบบ คือ อนุภาคพลังงานสูง และ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยคลื่นต่าง ๆ ที่มีความยาวคลื่นหลายช่วง บางช่วงคลื่น มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ ได้แก่ คลื่นวิทยุ รังสีอินฟราเรด รังสีอัลตราไวโอเลทรังสีเอกซ์ รังสีแกมมา รังสีคอสมิก เป็นต้น และบางช่วงคลื่นที่เรามองเห็นได้คือในคลื่นแสงธรรมดา
พลังงานของดวงอาทิตย์ผลิตโดยปฏิกริยา นิวเคลียร์ฟิวชั่น ทุก ๆ หนึ่งวินาที ดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนไฮโดรเจน 700,000,000 ตัน ให้กลายเป็นฮีเลียม 695,000,000 ตัน และพลังงานในรูปของรังสีแกมม่าอีกจำนวน 5,000,000 ตัน ซึ่งสามารถผลิตได้ 3.86e33 เอิร์ก/วินาที หรือ 386 พันล้าน พันล้าน เมกกะวัตต์
ปฏิกิริยาฟิวชั่น (Fusion) เป็นปฏิกิริยาหลอมตัวของนิวเคลียสและมีพลังงานคายออกมาด้วย นิวเคลียสที่ใช้หลอมจะต้องเป็นนิวเคลียสเล็กๆ (A<20) หลอมรวมกลายเป็นนิวเคลียสเบาที่ใหญ่กว่าเดิม ในปัจจุบันเชื่อกันว่าบนดาวฤกษ์ต่างๆ พลังงานมหาศาลที่ปล่อยออกมาเกิดจากปฏิกิริยาฟิวชั่นทั้งสิ้น
ลักษณะทางกายภาพของดวงอาทิตย์
Sunspots(จุดสุริยะ)
เป็นบริเวณที่ปรากฎให้เห็นมืด ในบรรยากาศชั้นโฟโตสเฟียร์ของดวงอาทิตย์ อาณาบริเวณดังกล่าวจะมีสนามแม่เหล็กสูง จึงขัดขวางพลังงานที่ถูกส่งออกสู่ภายนอกบริเวณนั้น, จุดสุริยะจะมีอุณหภูมิประมาณ 4,700 เคลวิน ขณะที่รอบๆมีอุณหภูมิประมาณ 5,770 เคลวิน,จุดสุริยะจะประกอบด้วยส่วนมืดตรงกลางเรียก Umbra(อัมบรา)และส่วนมัวที่ล้อมรอบเรียก Penumbra(พีนัมบรา)
TheSun
พวยก๊าซ และการประทุจ้า
ก๊าซร้อนบนดวงอาทิตย์พุ่งตัวสูงเหนือชั้นโฟโตสเฟียร์ขึ้นมาหลายหมื่นกิโลเมตร เรียกว่า “พวยก๊าซ” (Prominences) มันเคลื่อนที่เข้าสู่อวกาศด้วยความเร็ว 1,000 กิโลเมตร/วินาที หรือ 3.6 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง ในบางครั้งมีการระเบิดใหญ่กว่าเรียกว่า “การประทุจ้า” (Solar flare) ทำให้เกิดประจุอนุภาค (ion) พลังงานสูง แผ่รังสีเอ็กซ์ และอุลตราไวโอเล็ต ซึ่งเรียกว่า “พายุสุริยะ” เข้าสู่บรรยากาศชั้นบนของโลก และทำความเสียหายให้แก่ระบบโทรคมนาคม เช่น การสื่อสารผ่านดาวเทียม
ลมสุริยะ
ปรากฏการณ์ลมสุริยะ แท้จริงเป็นพฤติกรรมทั่วไปของดวงอาทิตย์ และมีผลต่อโลกอยู่บ้าง เช่น ทำให้เกิดปรากฏการณ์แสงเหนือแสงใต้ที่ขั้วโลก หรือรบกวนการทำงานของดาวเทียม
ลมสุริยะนั้นพุ่งออกจากดวงอาทิตย์ในทุก ๆ ทิศทาง ด้วยความเร็วเฉลี่ย 400 กิโลเมตรต่อวินาที แหล่งกำเนิดลมสุริยะก็คือบรรยากาศร้อนชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์เอง อุณหภูมิที่นี่จะสูงมากเสียจนแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ไม่สามารถดึงชั้นบรรยากาศ เอาไว้ได้ ถึงแม้เราจะรู้ว่าทำไมจึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้น แต่เราก็ไม่เข้าใจในรายละเอียดว่า ก๊าซชั้นโคโรลาถูกเร่งให้มีความเร็วได้อย่างไร และที่จุดไหน องค์ประกอบของลมสุริยะนั้น 95 เปอร์เซ็นต์เป็นโปรตอน (ไฮโดรเจน) 4 เปอร์เซ็นต์เป็นอนุภาคอัลฟ่า (ฮีเลียม) และอีก 1 เปอร์เซ็นต์เป็นประจุย่อย ๆ ของ คาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน นีออน แมกนีเซียม ซิลิคอน และเหล็ก ความเร็วของลมสุริยะที่วัดในระนาบโคจร มีค่าอยู่ระหว่าง 300 ถึง 600 กิโลเมตรต่อวินาที แต่ในบางโอกาสก็มีความเร็วมากกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อวินาที ความหนาแน่นของลมสุริยะมีค่าประมาณ 1-10 อนุภาคต่อเซนติเมตร ลมสุริยะนั้นพุ่งออกจากดวงอาทิตย์ในทุกทิศทาง แต่ก็ไม่สม่ำเสมอนัก ลมสุริยะมีความผันแปรในเรื่องความเร็ว และเมฆแม่เหล็กที่มันพัดเอาออกมาด้วย ลมสุริยะที่มีความเร็วสูงอาจจะปะทะกับลมสุริยะที่มีความเร็วต่ำ ซึ่งจะเกิดเป็นพื้นที่อันมีปฏิกิริยาต่อกัน (interaction region) และจะพัดออกมา พัดผ่านโลกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการหมุนของดวงอาทิตย์เอง ลมสุริยะที่ความเร็วแปรปรวนนี้อาจจะปะทะเข้ากับบรรยากาศชั้นแม่เหล็กของโลก และทำให้เกิดพายุขึ้นในบรรยากาศชั้นแมกนีโทสเฟียร์
ปรากฏการณ์ออรอรา (Aurora)
เมื่อลมสุริยะผ่านเข้ามาทำปฏิกิริยากับบรรยากาศชั้นบนของโลกในระดับไอโอโนส เฟียร์ ซึ่งสูงราว 120 กิโลเมตรขึ้นไป อะตอมของก๊าซออกซิเจนและไนโตรเจนถูกกระตุ้นเรืองแสงสว่างสวยงาม คล้ายม่านของแสงพลิ้วไปในท้องฟ้ากลางคืน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ออรอรา หรือ แสงเหนือ เมื่อเกิดในท้องฟ้าใกล้ขั้วเหนือ และ แสงใต้ เมื่อเกิดในท้องฟ้าใกล้ขั้วใต้
465574

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก  http://www.lib.kmutt.ac.th/st4kid/nonFlash/index.jsp?id=147








อ้างอิง  https://spaceblogblogspace.wordpress.com/2013/06/29/%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C-2/